กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรได้รับการวินิจฉัยอาการของโรคจากแพทย์ประจำตัว เพื่อดูความพร้อมของร่างกาย ก่อนที่จะเข้ารับบริการถอนฟันและรักษาสุขภาพช่องปากจากทันตแพทย์
ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากข้อมูลสถานการณ์สุขภาพช่องปากและฟันของคนไทย พบว่า ประชาชนไทยยังมีปัญหาสุขภาพช่องปากกันอีกมาก โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงานอายุ 35 - 44 ปี และผู้สูงอายุ 60- 74 ปี มีฟันผุที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยการอุดฟันถึง 2 ใน 3 หรือกว่าร้อยละ 60 และกลุ่มวัยทำงานจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยการถอนฟันถึงร้อยละ 26และเพิ่มเป็นร้อยละ 54 ในกลุ่มผู้สูงอายุ ในขณะเดียวกันพบว่าในรอบปีที่ผ่านมาประชาชนกลุ่มวัยทำงานและผู้สูงอายุไปพบทันตแพทย์เพื่อรับการรักษาเพียงร้อยละ 34 เท่านั้น ประชาชนส่วนหนึ่งยังไม่ไปพบทันตแพทย์แม้จะมีอาการเจ็บปวดฟัน โดยส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่า ไม่มีเวลา ไม่มีเงิน และกลัวการทำฟัน ซึ่งการดูแลและรักษาสุขภาพช่องปากนับเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่มี โรคประจำตัว ควรได้รับการวินิจฉัยหรือตรวจอาการจากแพทย์ก่อนถึงความพร้อมของร่างกายก่อนจะเข้ารับบริการรักษาจากทันตแพทย์ "กลุ่มโรคประจำตัวที่ส่งผลกระทบต่อการรักษาสุขภาพช่องปากและฟันแบ่งได้เป็น 2กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มโรคที่เลือดออกง่ายและหยุดไหลยาก ได้แก่ โรคเกล็ดเลือดต่ำหรือลูคีเมีย โรคไตและผู้ที่มีประวัติเคยล้างไต เพราะจะได้รับยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด ผู้ที่มีประวัติการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ และใช้ยาละลายลิ่มเลือด โรคตับ ทำให้การสร้างโปรตีนที่จำเป็นสำหรับการแข็งตัวของเลือดลดลงทำให้เลือดหยุดยาก แข็งตัวยาก จึงเกิดเลือดออกได้ง่าย 2) กลุ่มโรคที่อาจแสดงอาการในระหว่างการทำฟัน ได้แก่ โรคหัวใจอาจมีอาการเจ็บหน้าอก หอบเหนื่อย ใจสั่น โรคหอบหืดอาจมีอาการหอบเหนื่อย ต้องมียาพ่นประจำ และการได้รับยาสเตียรอยด์ โรคลมชักและโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งโรคประจำตัวเหล่านี้ หากแจ้งให้ทันตแพทย์ได้รับทราบก่อน จะช่วยให้สามารถเตรียมป้องกันและเตรียมความพร้อมในกรณีที่อาการกำเริบได้และอาจจะต้องปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อน?อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
ทางด้าน ทันตแพทย์สุธา เจียรมณีโชติชัย รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวเสริมว่า ก่อนจะทำการรักษาฟัน ทันตแพทย์จะต้องวินิจฉัยอาการและสาเหตุว่าสมควรต้องถอนฟันซี่นั้นหรือไม่ หากไม่สามารถเก็บรักษาฟันซี่นั้นไว้ จึงจะวางแผนรักษาด้วยการถอนฟัน ซึ่งเมื่อจำเป็นต้องถอนฟัน ทันตแพทย์จะซักประวัติทางการแพทย์อย่างถี่ถ้วน และจะทำการเอ็กซเรย์ฟันซี่จะถอนด้วยเพื่อตรวจหารอยโรคที่อาจมีซ่อนอยู่ เป็นสาเหตุของการปวดฟันหรืออาการฟันโยกคลอน เช่น เนื้องอก ถุงน้ำ (cyst) บริเวณรากฟันซี่นั้น และแม้จะเตรียมความพร้อมแล้ว บางกรณียังอาจเกิดอาการแทรกซ้อนจากการถอนฟันที่ไม่สามารถทราบได้ล่วงหน้า เช่น มีความผิดปกติของเส้นเลือดแดงและ เส้นเลือดดำ ซึ่งบังเอิญรอยโรคดังกล่าวอยู่บริเวณปลายรากฟันพอดี เมื่อถอนฟันซี่นั้นออก เลือดจึงไหลไม่หยุดต้องห้ามเลือดอย่างถูกวิธี "ดังนั้น หลังจากถอนฟันเสร็จ ควรปฏิบัติตนดังนี้ 1) กัดผ้าก๊อซแห้งที่ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างดีแล้ว นานประมาณ 2 ชั่วโมง เพื่อห้ามเลือด และกลืนน้ำลายตลอดเวลา หากยังมีเลือดซึมให้เปลี่ยนผ้าก๊อซชิ้นใหม่จนกว่าเลือดจะหยุด 2) การประคบเย็นด้วยถุงน้ำแข็งให้ทำภายนอกช่องปากตรงแก้มบริเวณที่ถอนฟัน ห้ามใช้วิธีอมน้ำแข็งไว้ในปาก เพราะน้ำแข็งจะละลายลิ่มเลือดที่แข็งตัวในปาก ทำให้เลือดหยุดช้า 3)ห้ามบ้วนปากหลังถอนฟันอย่างน้อย 12ชั่วโมง หลังจากนั้นใช้น้ำยาบ้วนปากได้ หรืออมน้ำเกลืออุ่นแล้วบ้วนทิ้ง 4) หลัง 24ชั่วโมง แปรงฟันได้ตามปกติแต่ต้องระวังไม่ให้กระทบกระเทือนบริเวณแผลถอนฟัน และ5.อาการเจ็บแผลถอนฟันควรลดน้อยลงภายใน 3 วันถึง 2 สัปดาห์ ถ้าหากไม่ทุเลาหรือเจ็บมากขึ้น มีอาการบวม มีเลือดออก หรือมีไข้ ให้รีบกลับไปพบทันตแพทย์ทันที ที่สำคัญหลังจากถอนฟันแล้ว ผู้ป่วยต้องรักษาความสะอาดในบริเวณที่ถอนฟันด้วยตนเอง เพื่อป้องกันการ ติดเชื้อ?รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าว
สำนักสื่อสารและตอบโต้ความเสี่ยง/ 6 กรกฎาคม 2558