คุณกำลังมองหาอะไร?

ข่า

ข่าวแจก "กรม อ.เผยปี54 ปีทองแห่งการดูแลสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุไทย ตั้งเป้าใส่ฟันเทียม 30,000 ราย"

กรมอนามัย พร้อมให้ข้อมูลข่าวสารที่มีประโยชน์สำหรับคุณ

21.12.2553
12
0
แชร์
21
ธันวาคม
2553

ข่าวแจก "กรม อ.เผยปี54 ปีทองแห่งการดูแลสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุไทย ตั้งเป้าใส่ฟันเทียม 30,000 ราย"

กรม อ. เผยปี?54 ปีทองแห่งการดูแลสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุไทย ตั้งเป้าใส่ฟันเทียม 30,000 ราย หนุน ชมรมผู้สูงอายุดูแลสุขภาพช่องปากตนเอง 1 อำเภอ 1 ชมรม

 

            กรมอนามัย  กระทรวงสาธารณสุข ร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 ตั้งเป้าใส่ฟันเทียมทั้งปากผู้สูงอายุปีละ 30,000 ราย และส่งเสริมชมรมผู้สูงอายุจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพช่องปาก 1 อำเภอ 1 ชมรม  เพื่อการมีสุขภาพช่องปากที่ดี

            วันนี้ (20 ธันวาคม 2553)  ดร.นพ.สมยศ  ดีรัศมี  อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง การจัดบริการและสนับสนุนการจัดบริการในโครงการฟันเทียมพระราชทานและการส่งเสริมสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว? ณ ห้องแกรนด์ฮอลล์ 1  โรงแรมรามาการ์เด้นส์  กรุงเทพมหานคร ว่า  กรมอนามัยได้สนองกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อเดือนเมษายน 2547  ความว่า ...เวลาไม่มีฟัน กินอะไรก็ไมอร่อย ทำให้ไม่มีความสุข  จิตใจก็ไม่สบาย ร่างกายก็ไม่แข็งแรง? ประกอบกับผลการสำรวจสภาวะทันตสุขภาพโดยกรมอนามัยพบว่า ปัญหาสุขภาพช่องปากที่สำคัญในกลุ่มผู้สูงอายุคือ การสูญเสียฟันจนไม่สามารถเคี้ยวอาหารได้ โดยได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมกันดำเนินงานโครงการ   ฟันเทียมพระราชทานและส่งเสริมสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา เพื่อมุ่งหวังให้ผู้สูงอายุมีฟันใช้เคี้ยวอาหารได้อย่างเหมาะสม เพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งขณะมีสามารถดำเนินการใส่ฟันเทียมให้กับผู้สูงอายุแล้วทั้งสิ้น 196,619 ราย

            ดร.นพ.สมยศ กล่าวต่อไปว่า สำหรับในปี 2554 ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศให้เป็นปีทองแห่งการดูแลสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุไทย เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหา-มงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 นั้น กรมอนามัยได้จัดบริการรองรับการแก้ปัญหาสุขภาพช่องปากในกลุ่มผู้สูงอายุ ได้แก่ บริการใส่ฟันเทียม และการส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สูงอายุได้ดูแลสุขภาพช่องปากด้วยตนเอง ผ่านทางชมรมผู้สูงอายุซี่งมีทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายหลักคือการใส่ฟันเทียมทั้งปากปีละ 30,000 ราย  และส่งเสริมชมรมผู้สูงอายุจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพช่องปาก 1 อำเภอ 1 ชมรม เพื่อให้สมาชิก 800 ชมรม  ประมาณ 84,000 คน ได้ดูแลอนามัยช่องปากตนเอง

            ดร.นพ.สมยศ  กล่าวต่อว่า  การดำเนินงานในปี 2554 นอกจากการจัดบริการโดยทันตบุคลากรทั่วประเทศแล้ว ยังเปิดโอกาสให้ท้องถิ่นและชมรมผู้สูงอายุเข้ามามีส่วนร่วม เพราะคาดว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า สัดส่วนประชากรสูงอายุ จะเป็นร้อยละ 20 หรือ 1 ใน 5 ของประชากรทั้งประเทศ พร้อม ๆ กับปัญหาสุขภาพและสุขภาพข่องปากที่จะเพิ่มขึ้น  จึงต้องมีการบูรณาการบางกิจกรรมกับงานส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุด้านอื่น ๆ เช่น การออกกำลังกาย งานโภชนาการ  การตรวจสุขภาพประจำปี หรือบูรณาการกิจกรรมกับเทคโนโลยีทางทันตกรรมขั้นสูง เช่น การใส่ฟันเทียมกับการทำ รากฟันเทียม เป็นต้น       

            ทั้งนี้ โครงการฟันเทียมพระราชทานและการส่งเสริมสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุ เป็นส่วนหนึ่งของประเด็นยุทธศาสตร์กรมอนามัยด้านการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ ซึ่งมุ่งหวังให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพดี ประกอบด้วย 1) มีสุขภาพดี   ทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคม  2) มีฟันใช้เคี้ยวอาหารได้อย่างเหมาะสม 3) มีดัชนีมวลกายอยู่ในเกณฑ์ปกติ 4) มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และ 5) สามารถช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นได้ตามอัตภาพ? อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในที่สุด

 

***กลุ่มสื่อสารองค์กร / 20 ธันวาคม 2553

 

กรม อ. เผยปี54 ปีทองแห่งการดูแลสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุไทยตั้งเป้าใส่ฟันเทียม 30,000 ราย หนุน ชมรมผู้สูงอายุดูแลสุขภาพช่องปากตนเอง 1อำเภอ 1 ชมรม กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554ตั้งเป้าใส่ฟันเทียมทั้งปากผู้สูงอายุปีละ 30,000 รายและส่งเสริมชมรมผู้สูงอายุจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพช่องปาก 1 อำเภอ 1 ชมรม เพื่อการมีสุขภาพช่องปากที่ดี วันนี้ (20 ธันวาคม 2553) ดร.นพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง\\การจัดบริการและสนับสนุนการจัดบริการในโครงการฟันเทียมพระราชทานและการส่งเสริมสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณห้องแกรนด์ฮอลล์ 1 โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพมหานคร ว่า กรมอนามัยได้สนองกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อเดือนเมษายน2547 ความว่า \\...เวลาไม่มีฟันกินอะไรก็ไมอร่อย ทำให้ไม่มีความสุข จิตใจก็ไม่สบายร่างกายก็ไม่แข็งแรง ประกอบกับผลการสำรวจสภาวะทันตสุขภาพโดยกรมอนามัยพบว่าปัญหาสุขภาพช่องปากที่สำคัญในกลุ่มผู้สูงอายุคือ การสูญเสียฟันจนไม่สามารถเคี้ยวอาหารได้โดยได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมกันดำเนินงานโครงการ ฟันเทียมพระราชทานและส่งเสริมสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุตั้งแต่ปี2548 เป็นต้นมา เพื่อมุ่งหวังให้ผู้สูงอายุมีฟันใช้เคี้ยวอาหารได้อย่างเหมาะสมเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีซึ่งขณะมีสามารถดำเนินการใส่ฟันเทียมให้กับผู้สูงอายุแล้วทั้งสิ้น 196,619 ราย ดร.นพ.สมยศ กล่าวต่อไปว่า สำหรับในปี 2554ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศให้เป็นปีทองแห่งการดูแลสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุไทยเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหา-มงคลเฉลิมพระชนมพรรษา7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 นั้น กรมอนามัยได้จัดบริการรองรับการแก้ปัญหาสุขภาพช่องปากในกลุ่มผู้สูงอายุได้แก่ บริการใส่ฟันเทียม และการส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สูงอายุได้ดูแลสุขภาพช่องปากด้วยตนเองผ่านทางชมรมผู้สูงอายุซี่งมีทั่วประเทศโดยมีเป้าหมายหลักคือการใส่ฟันเทียมทั้งปากปีละ 30,000 ราย และส่งเสริมชมรมผู้สูงอายุจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพช่องปาก 1 อำเภอ 1 ชมรมเพื่อให้สมาชิก 800 ชมรม ประมาณ 84,000 คนได้ดูแลอนามัยช่องปากตนเอง ดร.นพ.สมยศ กล่าวต่อว่า การดำเนินงานในปี 2554นอกจากการจัดบริการโดยทันตบุคลากรทั่วประเทศแล้ว ยังเปิดโอกาสให้ท้องถิ่นและชมรมผู้สูงอายุเข้ามามีส่วนร่วมเพราะคาดว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า สัดส่วนประชากรสูงอายุ จะเป็นร้อยละ 20 หรือ 1 ใน5 ของประชากรทั้งประเทศ พร้อม ๆกับปัญหาสุขภาพและสุขภาพข่องปากที่จะเพิ่มขึ้น จึงต้องมีการบูรณาการบางกิจกรรมกับงานส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุด้านอื่น ๆเช่น การออกกำลังกาย งานโภชนาการ การตรวจสุขภาพประจำปี หรือบูรณาการกิจกรรมกับเทคโนโลยีทางทันตกรรมขั้นสูง เช่นการใส่ฟันเทียมกับการทำ รากฟันเทียม เป็นต้น \\ทั้งนี้ โครงการฟันเทียมพระราชทานและการส่งเสริมสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุเป็นส่วนหนึ่งของประเด็นยุทธศาสตร์กรมอนามัยด้านการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุซึ่งมุ่งหวังให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพดี ประกอบด้วย 1) มีสุขภาพดี ทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคม 2) มีฟันใช้เคี้ยวอาหารได้อย่างเหมาะสม 3)มีดัชนีมวลกายอยู่ในเกณฑ์ปกติ 4) มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และ 5)สามารถช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นได้ตามอัตภาพ อธิบดีกรมอนามัยกล่าวในที่สุด ***กลุ่มสื่อสารองค์กร / 20ธันวาคม 2553

กรมอนามัย
เรามีสาระสุขภาพดีๆ
ส่งตรงถึงคุณ
ทุกวัน

ติดตามข่าวสารได้ที่

แทงบอลออนไลน์ || ดูบอลสด UFABET